บล.ทิสโก้ : SEAFCO แนะนำ”ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 13.30 บาทเป็น 16.10 บาท
|
แนวโน้มสดใสจากงานในมือที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก
ยังคงแนะนำซื้อเนื่องจากคาดว่ากำไรจะขยายตัวต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยสองปี ข้อมูลจาก Opportunity day ยืนยันมุมมองในเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรของบริษัท จากปริมาณงานในมือที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัทที่มีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นไปอีก เนื่องจากคาดว่าการประมูลงานภาครัฐจะกลับมาคึกคักขึ้นมากในช่วงครึ่งปีหลังของปี ส่งผลดีต่อกำไรของบริษัทในช่วง 3 ปีข้างหน้า ดังนั้น เรายังคงคำแนะนำ”ซื้อ”
งานในมือสูงสุดเป็นประวัติการณ์และจะเพิ่มสูงขึ้นอีกกำให้กำไรจะดีต่อเนื่องไปอีกสามปี
ปัจจุบัน SEAFCO มีงานในมืออยู่ที่ 1,671 ล้านบาท และน่าจะเพิ่มเป็น 1.9 พันล้านบาท หากรวมงานใหม่ที่บริษัทได้รับมาในเดือน พ.ค. ที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญา ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่บริษัทเปิดดำเนินงานมา นอกจากนั้น บริษัทยังมีโอกาสค่อนข้างมากที่จะได้ subcontract งานภาครัฐที่เพิ่งเปิดประมูลจากผู้รับเหมารายใหญ่ เช่น รถไฟฟ้าสีส้ม ชมพูและเหลือง และโครงการภาครัฐที่จะเปิดประมูลในปีนี้ เช่น รถไฟรางคู่ 5 สาย, มอเตอร์เวย์, งานสนามบินสุวรรณภูมิเฟส 2, ทางด่วน (พระราม 3-ดาวคะนอง) และรถไฟฟ้าสีม่วงใต้ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ไม่เพียงมีงานเสาเข็มเจาะ แต่ยังมีงานกำแพงดินซึ่งมีมาร์จิ้นสูงอยู่ด้วย และกลุ่ม JV CK/STEC ชนะประมูลไป 3 จากทั้งหมด 6 สัญญา ซึ่งโดยปกติ CK มักจะ subcontract งานมาให้ SEAFCO นอกจากนั้นยังมีโครงการภาคเอกชนที่เตรียมจะออกมาในปีนี้และปีหน้าอีกมาก เช่น โครงการ One Bangkok และโครงการ Mixed use ของกลุ่มเซ็นทรัลและดุสิตฯ รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมและศูนย์การค้าตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ซึ่งก็จะส่งผลดีต่อ SEAFCO อีกด้วย
เราคาดว่ากำไร 2Q17 น่าจะดีขึ้น YoY แต่ลดลง QoQ เนื่องจากปัจจัยด้านฤดูกาล
เราคาดการณ์เบื้องต้นว่ากำไรสุทธิประจำ 2Q17F ของ SEAFCO จะอยู่ที่ 46 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% YoY (จากรายได้ก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นตาม Backlog ที่เติบโตขึ้น และค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่ลดลงจากระดับที่สูงผิดปกติใน 2Q16) แต่ลดลง 24% QoQ (โดยสาเหตุหลักๆ มาจากรายได้ก่อสร้างที่ลดลง 7.5% QoQ) เนื่องจากในไตรมาสสองมีวันหยุดหลายวันอีกทั้งยังเริ่มมีฝนตกทำให้เป็นอุปสรรคต่อการก่อสร้าง อย่างไรก็ดีเราคาดว่า Gross margin จะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก 16.6% ใน 1Q17 มาอยู่ที่ 17.0% จากสัดส่วนงานค่าแรงอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้น
เรายังคงแนะนำให้ “ซื้อ”โดยมีราคาเป้าหมายใหม่ที่ 16.10 บาท เราคงประมาณการกำไรของเราไว้ แต่ re-rate ราคาเป้าหมายของเราไปอิง P/E ที่ 16.7 เท่า บน 2018F EPS จาก 2017F EPS (อิงจาก P/E เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีของหุ้น) เนื่องจากเรามองว่าผลการดำเนินงานของบริษัทในปีหน้าน่าจะสะท้อนแนวโน้มงานก่อสร้างที่จะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากโครงการภาครัฐที่จะประมูลงานคึกคักในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ได้มากกว่า ดังนั้นราคาเป้าหมายของเราเพิ่มขึ้นจาก 13.30 บาทเป็น 16.10 บาท ยังมี upside จากราคาหุ้นในปัจจุบัน 20% เราจึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ความเสี่ยงหลักๆ คือหากมีงานน้อยกว่าคาด การเปิดประมูลงานภาครัฐที่ล่าช้า ต้นทุนก่อสร้างบานปลาย การขาดแคลนแรงงาน หรือการก่อสร้างล่าช้ากว่ากำหนด |
|
บล.เคจีไอ : SEAFCO แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 14.40 บาท
|
Backlog ขาขึ้นรับงานต่อเนื่อง
Event
บริษัทให้ข้อมูลในงาน Opportunity day
Impact
งาน margin สูงกำลังทะยอยเข้ามา
กำไรสุทธิของ SEAFCO ใน 1Q60 อยู่ที่ 61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% YoY และ 12% QoQ โดยรายได้เพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับปกติที่ 16.6% ทั้งนี้ อัตรากำไรยังไม่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากงานก่อสร้างส่วนใหญ่ยังมาจากภาคเอกชนอยู่ แต่อย่างไรก็ตาม เราเริ่มพบว่างานใหม่ที่บริษัทได้เริ่มที่จะเปลี่ยนไปเป็นสัญญาจ้างแรงงานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นสัญญาจ้างงานที่มี margin สูง โดยสัดส่วนของสัญญาจ้างประเภทนี้เพิ่มขึ้นจาก 35% ใน1Q59 เป็น 41% ใน 1Q60
backlog เพิ่มขึ้นต่อเนื่องแตะระดับสถิติสูงสุดใหม่
ในขณะเดียวกัน backlog เพิ่มขึ้นปรับเพิ่มขึ้นจาก 1.51 พันล้านบาท ในเดือนมีนาคม 2560 เป็น 1.67 พันล้านบาทในเดือนพฤษภาคม 2560 โดยคาดว่าจะรับรู้เป็นรายได้ภายในปีนี้ประมาณ 80-90% ซึ่งน่าจะทำให้บริษัทมีรายได้แน่นอนแล้วถึง 80-90% ของประมาณการรายได้ปี FY17 ของเรา แม้ว่าการก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าของภาครัฐจะยังไม่เริ่มและยังไม่ได้รวมอยู่ใน backlog ของบริษัท ดังนั้น เราจึงมองว่าถึงแม้จะเกิดความล่าช้าของการก่อสร้างโครงการสายสีส้ม ชมพูและเหลือง ก็แทบจะไม่ส่งผลกระทบกับประมาณการของเราเลย
มีงานใหม่อีกเพียบที่จะทะลักเข้ามาในอุตสาหกรรม
นอกจากนี้ backlog ของบริษัทยังไม่ได้รวมโครงการใหม่ One Bangkok ซึ่งมีมูลค่าโครงการสูงถึง 1.50 แสนล้านบาท และ SEAFCO เพิ่งเซ็นสัญญาก่อสร้างงานฐานรากซึ่งเป็นสัญญาณว่า backlog มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องใน 2H60 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวช่วยตอกย้ำมุมมองของเราว่าจะมีงานก่อสร้างจากทั้งภาครัฐและเอกชนอีกเพียบที่จะทะลักเข้ามาในอุตสาหกรรม และเจ้าตลาดอย่าง SEAFCO ก็จะได้อานิสงส์ได้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
โชคสองชั้น
นอกจากโครงการก่อสร้างที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างมาแล้ว backlog ในปัจจุบันของ SEAFCO ก็ยังมีสัญญาณบวกอีกด้าน กล่าวคือ 47% ของ backlog เป็นงานภาครัฐ ในขณะที่ที่อีก 53% เป็นงานภาคเอกชน ซึ่งแปลว่ายังมีโอกาสที่อัตรากำไรของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้อีกในอนาคต ซึ่งจากปัจจัยบวกทั้งสองด้านดังกล่าว เราจึงยังคงมีมุมมองที่เป็นบวกต่อ SEAFCO
Valuation and action
เรายังคงแนะนำให้ซื้อ SEAFCO โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 14.40 บาท อิงจาก PER ที่ 24x เท่ากับค่าเฉลี่ยระยะยาว +1SD แต่คิดเป็น PEG แค่ 1x เท่านั้น เรายังคงแนะนำให้ซื้อจากแนวโน้มใหญ่ของการลงทุนโครงการรถไฟฟ้า, อัตรากำไรที่ดีขึ้น และแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่งของกำไรในปี 2560-2562
Risks
เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า และเกิดปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง |
|
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : SEAFCO แนะนำ ซื้อ ราคาพื้นฐาน 14.25 บาท (เดิม 13.17 บาท)
|
ยังคาดว่าปี 60-61... สู่ปีทอง
- จากปัจจุบันที่งานในมือทำสถิติสูงสุดแล้วที่ 1,671 ล้านบาท คาดว่าในครึ่งปีหลังจะเติมเข้ามาอีกมากคือ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู และเหลือง เราคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะให้รายได้ทั้งปีนี้และปีหน้าต่อเนื่อง
- งานขนาดใหญ่ที่มีโอกาสได้อีกมาก คือรถไฟฟ้าส่วนขยายอื่นๆ รถไฟทางคู่ รวมทั้งโครงการ Mix Use ที่ ถ.พระราม 4 มูลค่ามหาศาล เช่น “One Bangkok “ และกลุ่มดุสิตผนึกเซ็นทรัล ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่มฐานรากมีจำนวนน้อย
- ปรับประมาณการดีขึ้น ในส่วนอัตราภาษีเงินได้จากสิทธิประโยชน์คิดค่าเสื่อมราคาได้ 2 เท่า จนทำให้รายได้และกำไรหลักปีนี้และปีหน้าเข้าสู่ปีทอง คล้ายกับปี 57 อีกครั้ง อัตราเติบโต y-o-y เป็น 58%/19% ตามลำดับ
- คำแนะนำ ซื้อ แต่ราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว จนราคาพื้นฐานใหม่ที่ 14.25 บาท มีส่วนเพิ่มเพียง 6.4% ผนวกกับคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ 2.9% เป็น 9.3% ถือว่าไม่มาก แต่สามารถซื้อลงทุนสำหรับปี 61 ได้
ปัจจุบันมีงานในมือทำสถิติสูงสุดใหม่ ปัจจุบันบริษัทฯมีงานในมือ (Backlog) 1,671 ล้านบาท ถือว่าเป็นสถิติสูงสุดใหม่และเตรียมที่จะเซ็นสัญญารับงานใหม่อีก 3 งาน มูลค่าราว 300 ล้านบาท ในเร็วๆนี้ ในขณะเดียวกันยังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่มูลค่า 2-3 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรู้ผลการประมูลภายในปีนี้ หลังงานภาคเอกชนออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการศูนย์การค้า โรงพยาบาล โรงแรม รวมไปถึงศูนย์สุขภาพ ที่ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
คาดว่าครึ่งปีหลังจะมีงานเติมเข้ามาอีกมาก คือ รถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู และเหลือง เราคาดว่าอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท สำหรับรถไฟฟ้าสายสีส้มที่ CK ได้ไป มีโอกาสจะให้ SEAFCO ทำ เพราะมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมากอยู่แล้ว ส่วน STEC ที่ได้รถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู และเหลือง ก็มีความสนใจ SEAFCO อยู่เช่นกัน แต่กว่าที่จะลงนามในสัญญา คาดว่าจะล่วงเข้าสู่ปลายไตรมาส 3/60 แล้ว ดังนั้นจึงมีโอกาสที่รายได้จะเกิดขึ้นในปีนี้ และบางส่วนล้ำไปยังปี 61 ด้วย
งานขนาดใหญ่ที่มีโอกาสได้อีกสูง คือรถไฟฟ้าส่วนขยายอื่นๆ เช่น สายสีม่วง เขียว แดง และน้ำเงิน รวมทั้งรถไฟทางคู่ ก็กลับมาประมูล เช่น หัวหิน-ประจวบคีรีขันธ์ และ นครปฐม-หัวหิน รวมทั้งโครงการ Mix Use ที่ ถ.พระราม 4 มูลค่ามหาศาล เช่น “One Bangkok “ ของกลุ่มคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท ล่าสุดบริษัทได้มีการเข้าไปเจรจาด้วยแล้ว และกลุ่มดุสิตผนึกเซ็นทรัล มูลค่า 3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่มฐานรากที่มีฐานะการเงินดีที่จะทำให้โครงการสำเร็จมีจำนวนน้อย
ปรับประมาณการดีขึ้น ปีนี้และปีหน้าในอัตรา 9%/16% ตามลำดับ สมมุติฐานคือ ลดอัตราภาษีเงินได้ จุดประกายด้วยอัตราภาษีเงินได้ 1Q60 เป็นเพียง 9.8% เพราะสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ภายในปี 59 จะนำสิทธิประโยชน์จากภาครัฐ คือคิดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่าเสื่อมราคาได้เป็น 2 เท่าจากจำนวนจริงในการคำนวณภาษีเงินได้ เราจึงปรับอัตราภาษีเงินได้ปีนี้และปี 61 ลดลงเป็น 10% จากเดิม 20%
แต่ได้ปรับลดอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ลง เป็น 19.6% จากเดิม 20.6% สะท้อน 1Q60 ที่ทำได้เพียง 16.6% สืบเนื่องมาจากค่าเสื่อมราคาที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อเครื่องจักรใหม่ปี 59 แต่ในงวด 2H60 คาดว่าจะดีขึ้นเพราะงานในมือเป็นงานที่คิดเฉพาะค่าแรงในสัดส่วน 54% ซึ่งปกติจะให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 31% ทั้งนี้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจะใช้ได้ไปถึง 5-10 ปี แล้วแต่อายุเครื่องจักร ส่วนปี 61 คงอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 20.6% เนื่องจากเป็นการรับรู้รายได้โครงการที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง
เพิ่มกำไรพิเศษทั้งปีนี้และปี 61 ในงวด 1Q60 มีกำไรขายเครื่องจักรเก่า 9.5 ล้านบาท ซึ่งมีความไม่แน่นอนว่าจะบันทึกกำไรเมื่อใด แล้วแต่เวลาที่ขายได้สำเร็จ เราจึงสมมุติให้ปีนี้และปี 61 มีรายการนี้ปีละ 9.5 ล้านบาท ส่วนปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีการซื้อเครื่องจักรใหม่อีก 4 เครื่องที่มูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่นำมาใช้ในงานรถไฟฟ้าในส่วนที่อยู่ใต้ดิน แต่เรื่องสิทธิประโยชน์จากภาครัฐยังไม่ชัดเจนว่าจะต่ออายุจากปี 59 ไหม
คงคำแนะนำ ซื้อ แต่ราคาหุ้นปรับขึ้นอย่างรวดเร็ว YTD 17.5% สอดคล้องกับคำแนะนำ จนราคาพื้นฐานใหม่ที่ 14.25 บาท ด้วย P/E ปี 60 ที่ 17.0 เท่า มีส่วนเพิ่มเพียง 6.4% เทียบกับราคาปิด ผนวกกับคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลปีนี้ 2.9% รวมเป็น 9.3% ถือว่าไม่มาก แต่สามารถซื้อลงทุนสำหรับปี 61 ได้ เพราะหากใช้คาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นปี 61 จะประเมินราคาพื้นฐานได้ที่ 16.81 บาท ด้วย P/E ปี 61 ที่ 17.0 เท่า สำหรับงานต่างประเทศจะรุกประเทศกัมพูชามากขึ้น เพื่อกระจายความเสี่ยงในช่วงต้นปี 61 เป็นอาคารสูง 66 ชั้น มูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท หลังรุกเมียนมาร์มาแล้ว
|
|
บล.เออีซี : SEAFCO แนะนำ`ซื้อ` ราคาเป้าหมายปี 2560 ที่ 14.10 บาท
|
Backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์
อุตสาหกรรมฐานรากมีแนวโน้มสดใส และมี Backlog ในมือ 1,671 ล้านบาท
จากงาน Opp. Day เช้านี้ เราสรุปประเด็นสำคัญที่ได้จากผู้บริหาร SEAFCO ดังนี้ 1) ปัจจุบัน SEAFCO มี Backlog ในมือ (19 พ.ค.) 1,671 ล้านบาท (ซึ่งเป็นงานเฉพาะค่าแรง 54.4%) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคาดรับรู้ในปีนี้ราว 90% ของ Backlog ขณะที่มีงานในตลาดที่อยู่ระหว่างประมูลอยู่อีกราว 86 โครงการ (ไม่รวมเมกะโปรเจค) มูลค่ารวมกันกว่า 4.3 พันล้านบาท 2) ผู้บริหารมีมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมงานฐานรากจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู เหลืองซึ่งคาดเสร็จสิ้นการประมูลและเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปี 2560 อีกทั้งยังมีโครงการภาคเอกชน คือ One Bangkok ที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการประมูลและเซ็นสัญญารับงาน และ 3) บริษัทโอกาสรับงานก่อสร้างตึกสูง 60 ชั้นในกัมพูชาโดยร่วมกับพันธมิตรในไทย ซึ่งยังอยู่ในระหว่างการตัดสินใจของผู้ว่าจ้างในการออกแบบ
ช่วง 2Q60 คาดกำไรโต YoY จากการรับรู้งาน Backlog อย่างต่อเนื่อง
แม้ช่วง 2Q60 คาดจะมีกำไรสุทธิลดลง QoQ จากวันทำงานที่น้อยลงเมื่อเทียบกับช่วง 1Q60 แต่เราคาดกำไรยังโต YoY จากการรับรู้งาน Backlog ซึ่งเป็นงานตึกสูงในกรุงเทพอย่างต่อเนื่อง หนุนให้ทั้งปี 2560 เราคงคาด SEAFCO จะมีกำไรสุทธิ 227 ล้านบาท โตเด่นถึง 45.5%YoY ด้วยแรงหนุนจาก Backlog ในมือที่มีอยู่ 1,671 ล้านบาท นับได้ว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ย Backlog ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ราว 970 ล้านบาท และคาดจะ Secured revenue ราว 91% ของประมาณการรายได้ในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ อีกทั้งคาด SEAFCO จะได้รับงานใหม่เพิ่มในช่วง 2H60 จากทั้งงานจากภาคเอกชน อาทิ ตึกสูงในกรุงเทพฯ และงาน One Bangkok รวมถึงงานภาครัฐจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู เหลือง (เราคาดมีมูลค่างานฐานราก เฉพาะค่าแรงรวมกว่า 5 พันล้านบาท)
คงแนะนำ "ซื้อ" ด้วย Upside 11% จากงานใหม่ของทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยแนวโน้มการรับงานฐานรากใหม่ที่ยังสดใสทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ ซึ่งคาดหนุนกำไรโตเด่นเฉลี่ยปีละ 32.9% ในช่วงปี 2560-2561 อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 11.0% จากราคาเป้าหมายปี 2560 ที่ 14.10 บาท (อิง PER ที่ระดับ 19.0x ซึ่ง +1SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีต) พร้อมคาด Div. Yield ปีนี้ราว 3% จึงคงแนะนำ "ซื้อ" |
|
|
(เพิ่มเติม) SEAFCO แย้มอัตรากำไรสุทธิปีนี้อยู่ที่ 10% มากกว่าปีก่อนที่ทำได้ 8.31% หลังบริหารต้นทุนได้ดี ตุน backlog 1.6 พันลบ.ส่วนใหญ่รับรู้ปีนี้
|
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -7 มิ.ย. 60 12:49 น.
นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เปิดเผยในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) มั่นใจผลงานไตรมาส 2/60 โตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก พร้อมเข้าเซ็นสัญญาเพิ่ม 3 โครงการ มูลค่า 300 ล้านบาท เร็วๆนี้ แย้มอยู่ระหว่างลุ้นผลประมูลอีก 2 - 3 พันล้านบาท รู้ผลปีนี้ทั้งหมด ทั้งปีคาดรายได้นิวไฮตามเป้า 2 พันล้านบาท ดันอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 10% สูงกว่าปีก่อน รายละเอียดดังนี้
-บริษัทมั่นใจรายได้ในปีนี้จะเติบโตทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นิวไฮ) ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท จากการลงทุนของภาคเอกชน ทำให้งานก่อสร้างทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม ศูนย์การค้า โรงพยาบาล โรงแรม และศูนย์สุขภาพที่กำลังได้รับความนิยม
-คาดสามารถผลักดันอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้อยู่ที่ราว 10% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ 8.31% จากการลดต้นทุนในการดำเนินงาน และจากการรับงานเป็นจำนวนมากทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด(Economy of Scale)
-ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/60 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก จากการทยอยรับรู้รายได้เข้ามาจากงานที่อยู่ในมือ (Backlog) ที่มีอยู่ทั้งหมดราว 1.6 พันล้านบาท และส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้
- บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมเซ็นสัญญารับงานเสาเข็มเพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่าราว 300 ล้านบาท ภายในเร็วๆนี้ ประกอบกับขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการประมูลโครงการทั้งหมดมูลค่า 2 - 3 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้ผลการประมูลภายในปีนี้
-บริษัททุ่มงบลงทุนราว 100 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในการขุดเจาะเสาเข็มอีก 4 เครื่อง คาดว่าจะได้รับเครื่องใหม่ในไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป โดยการสั่งซื้อเครื่องจักรเพื่อรองรับโครงการใหม่ๆ ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าจาก บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และ บริษัท ซิโน-ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ที่จะเข้ามาอีกมาก
- สำหรับงานในต่างประเทศบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อรับงานในประเทศกัมพูชามูลค่า 200 ล้านบาท และในเมียนมามูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 3/60 |
ลักษณะธุรกิจของ SEAFCO
ผู้รับก่อสร้างงานเสาเข็มเจาะ งานฐานรากและงานโยธาทั่วไป โดยรับงานทั้งจากภาคราชการและภาคเอกชน บริษัทสามารถรับงานโดยตรงจากเจ้าของโครงการหรือรับงานช่วงต่อ (Sub-contract) จากผู้รับเหมาก่อสร้างหลัก (Main Contractor) ภาพรวมของบริการของบริษัทสามารถสรุปได้ดังนี้ 1) งานเสาเข็มเจาะ (Bored Pile) 2) งานกำแพงกันดิน (Diaphragm Wall) 3) งานปรับปรุงคุณภาพดิน (Soil Improvement) 4) งานก่อสร้างโยธา ซึ่งรวมถึงงานฐานรากต่างๆ และงานก่อสร้างอาคาร 5) งานบริการทดสอบต่างๆ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
SEAFCO แบ็คล็อกทุบสถิติ รัฐเร่งลงทุนหนุนงานฐานรากชุก |
สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย- -8 มิ.ย. 60 6:54: น.
"ซีฟโก้" พุงกาง! งานในมือทะลัก ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ที่ 1.6 พันล้านบาท หลังมีงานฐานรากจากภาครัฐ-เอกชน ทยอยออกมาต่อเนื่อง มั่นใจรายได้ปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท พร้อมดันอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากปีก่อนทำได้ 8.31% ลุ้นผลประมูงานมูลค่า 2-3 พันล้านบาท พร้อมเดินหน้าประมูลงานทั้งใน-ต่างประเทศ ด้านโบรกฯมองการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานทำอุตสาหกรรมฐานรากสดใส ช่วยหนุนผลดำเนินนงานเติบโตโดดเด่น
*** รายได้-Backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์
นายณรงค์ ทัศนนิพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซีฟโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAFCO เปิดเผยว่า รายได้ในปีนี้จะเติบโตทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (นิวไฮ) ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท จากการลงทุนของภาคเอกชน ทำให้งานก่อสร้างทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่ม ศูนย์การค้า โรงพยาบาล โรงแรม และศูนย์สุขภาพที่กำลังได้รับความนิยม คาดสามารถผลักดันอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในปีนี้อยู่ที่ราว 10% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ 8.31% จากการลดต้นทุนในการดำเนินงาน และจากการรับงานเป็นจำนวนมากทำให้เกิดการประหยัดต่อขนาด(Economy of Scale)
ส่วนผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2/60 ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาสแรก จากการทยอยรับรู้รายได้เข้ามาจากงานที่อยู่ในมือ (แบ็คล็อก) ที่มีอยู่ทั้งหมดราว 1.6 พันล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยส่วนใหญ่จะทยอยรับรู้เป็นรายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้
***เดินหน้ารับงานต่อเนื่อง
บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมเซ็นสัญญารับงานเสาเข็มเพิ่มอีก 3 โครงการ มูลค่าราว 300 ล้านบาท ภายในเร็วๆนี้ ประกอบกับขณะนี้อยู่ระหว่างการรอผลการประมูลโครงการทั้งหมดมูลค่า 2 - 3 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทยอยรับรู้ผลการประมูลภายในปีนี้ นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรเพื่อรับงานในประเทศกัมพูชามูลค่า 200 ล้านบาท และในเมียนมามูลค่า 100 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนในไตรมาส 3/60
***ทุ่มงบซื้อเครื่องจักรขุดเจาะเสาเข็มรองรับงานอนาคต
บริษัททุ่มงบลงทุนราว 100 ล้านบาท เพื่อสั่งซื้อเครื่องจักรที่ใช้ในการขุดเจาะเสาเข็มอีก 4 เครื่อง คาดว่าจะได้รับเครื่องใหม่ในไตรมาส 3/60 เป็นต้นไป โดยการสั่งซื้อเครื่องจักรเพื่อรองรับโครงการใหม่ๆ ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าจาก บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK และ บริษัท ซิโน-ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ STEC ที่จะเข้ามาอีกมาก
*** อุตสาหกรรมฐานรากสดใส
บล.เออีซี ระบุ ปัจจุบัน SEAFCO มีงานในมือ จำนวน 1,671 ล้านบาท (ซึ่งเป็นงานเฉพาะค่าแรง 54.4%) สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งคาดรับรู้ในปีนี้ราว 90% ของ จำนวนแบ็คล็อก ขณะที่มีงานในตลาดที่อยู่ระหว่างประมูลอยู่อีกราว 86 โครงการ (ไม่รวมเมกะโปรเจค) มูลค่ารวมกันกว่า 4.3 พันล้านบาท ซึ่งผู้บริหารมีมุมมองเชิงบวกต่ออุตสาหกรรมงานฐานรากจากการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู เหลืองซึ่งคาดเสร็จสิ้นการประมูลและเริ่มก่อสร้างได้ในช่วงปลายปี 2560 อีกทั้งยังมีโครงการภาคเอกชน คือ One Bangkok ที่อยู่ในระหว่างขั้นตอนการประมูลและเซ็นสัญญารับงาน
***คาดปี 60-61 กำไรโตโดดเด่น
บทวิเคราะห์ บล.เออีซี มองว่า แม้ช่วงไตรมาส 2/60 คาดจะมีกำไรสุทธิลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า จากวันทำงานที่น้อยลงเ แต่เราคาดกำไรยังโตจากช่วงเดียวกันปีก่อน จากการรับรู้งานในมือ ซึ่งเป็นงานตึกสูงในกรุงเทพอย่างต่อเนื่อง หนุนให้ทั้งปี 2560 เราคงคาด SEAFCO จะมีกำไรสุทธิ 227 ล้านบาท โตเด่นถึง 45.5%YoY ด้วยแรงหนุนจาก งานในมือที่มีอยู่ 1,671 ล้านบาท นับได้ว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยปริมาณงานในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งอยู่ที่ราว 970 ล้านบาท และคาดจะ Secured revenue ราว 91% ของประมาณการรายได้ในช่วง 9 เดือนที่เหลือของปีนี้ อีกทั้ง คาด SEAFCO จะได้รับงานใหม่เพิ่มในช่วง ครึ่งปีหลัง จากทั้งงานจากภาคเอกชน อาทิ ตึกสูงในกรุงเทพฯ และงาน One Bangkok รวมถึงงานภาครัฐจากโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ชมพู เหลือง (เราคาดมีมูลค่างานฐานราก เฉพาะค่าแรงรวมกว่า 5 พันล้านบาท)
ด้วยแนวโน้มการรับงานฐานรากใหม่ที่ยังสดใสทั้งจากภาคเอกชนและภาครัฐ ซึ่งคาดหนุนกำไรโตเด่นเฉลี่ยปีละ 32.9% ในช่วงปี 2560-2561 อีกทั้งราคาหุ้นปัจจุบันมี Upside 11.0% จากราคาเป้าหมายปี 2560 ที่ 14.10 บาท (อิง PER ที่ระดับ 19.0x ซึ่ง +1SD จากค่าเฉลี่ยย้อนหลังในอดีต) พร้อมคาด Div. Yield ปีนี้ราว 3% จึงคงแนะนำ "ซื้อ
บล.ธนชาต แนะนำ “ซื้อ” SEAFCO ด้วยเป้าหมายพื้นฐาน 14 บาท จาก 1) งานในมือ 1.5 พันล้านบาท เป็นฐานในการรับรู้รายได้ในอนาคต และคาดว่าจะมีงานใหม่จากภาครัฐฯ อย่างรถไฟฟ้าสายสีส้ม-เหลือง-ชมพู เพิ่มขึ้นตั้งแต่ปลายปีนี้ 2) คาดการเปิดประมูลรถไฟรางคู่ 5 เส้นทางใน 3Q17 จะเป็น catalyst ระยะสั้นต่อราคาหุ้นในช่วง 1-3 เดือนข้างหน้า ขณะที่ฐานกำไรที่ต่ำในช่วง 2Q16-3Q16 จะทำให้กำไร SEAFCO ขยายตัวเด่นกว่ารับเหมาฯ อื่นๆ ในช่วง 2Q17 3) นอกจากงานภาครัฐฯ งาน One Bangkok ของภาคเอกชน มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างปลายปีนี้ และ 4)คาดการณ์กำไรปี 2017-18 ขยายตัวเด่น 47-41% ส่งผลให้ PE ลดลงต่ำเพียง 11x ปีหน้า ขณะทางเทคนิคราคาหุ้นทำ breakout แนวต้านไปแล้ว เป้าหมายระยะสั้นตามกรอบ uptrend ที่ 13/13.8 บาท
|
|
|
|
|
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น