วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2558

*ตรวจสอบความแข็งแรงของราคาหุ้นด้วย RSI*



**ตรวจสอบความแข็งแรงของราคาหุ้นด้วย RSI**   Technicalm Analysis  หุ้น 

RSI ( Relative Strength Index )     วันนี้ผมจะให้มุมมองและวิธีการแปลความหมายเพื่อให้เราเข้าใจในความหมายของ RSI มากขึ้นว่าใช้บอกอะไรให้เราบ้าง

      จากสูตรคำนวณ RSI = 100 – 100 /( 1+RS ) ค่า Defualt periods = 14 
     โดย RS ( Relative Strength ) = Average Gain / Average Loss

ค่า Average Gain ก็คือ ส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้น( ปิดสูงกว่าวันก่อนหน้า) ทุกๆวัน นำมารวมกัน แล้วหารด้วย 14
ค่า Average Loss ก็คือ ส่วนต่างราคาที่ลดลง ( ปิดต่ำกว่าราคาปิดวันก่อนหน้า) ทุกๆวัน นำมารวมกันแล้วหารด้วย 14

      ยกตัวอย่างเช่น หากใน 14 วัน มีวันที่ราคาปิดเพิ่มขึ้น 7 วัน และลดลง 7 วันเท่ากัน 
  แต่ Average Gain มีค่ามากกว่า เช่น ค่าที่เพิ่มขึ้นใน 7 วันรวมกันได้ 8 บาท       และค่า Average Loss มีค่ารวมกัน ได้ 4 บาท

        เมื่อนำเข้าสูตรเราจะได้ ค่า RSI = 100-100/(1 + 8/4 ) = 66.67      แล้วตัวเลขนี้บอกอะไรเราบ้าง ?

1. ค่า RSI >= 66.67 หมายถึงว่า ที่ผ่านมา 14 วันนั้น โอกาสที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นเทียบกับลดลง มีมากกว่า 2: 1

2. หากเส้น RSI ยังชี้ขึ้นหรือมีค่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นั่นหมายถึง Average Gain มีเพิ่มเข้ามาต่อเนื่องนั่นเอง

3. หากเส้น RSI หักหัวลง หรือชี้ลง นั่นหมายถึงมี Average Loss ( ราคาติดลบกว่าวันก่อนหน้า)เข้ามาเพิ่มขึ้น 

4. การที่ค่า RSI มีค่าสูงๆ เช่นสูงกว่า 70 มันมีนัยยะว่า โอกาสที่ราคาจะปิดสูงขึ้นต่อเทียบกับลดลงมีมากกว่า 2:1 เสียอีก ใครล่ะไม่ชอบเล่นในทางที่มีโอกาสได้มากกว่าเสีย ในช่วงนี้จึงทำให้ปริมาณการซื้อขายสูงเพราะนักเก็งกำไรเข้ามาร่วมวงเยอะ

5. ช่วงที่ค่า RSI สูงๆและยังชี้ขึ้นต่อ ราคามักวิ่งขึ้นแรง ซึ่งจะทำให้นักลงทุนที่มีต้นทุนต่ำๆ ทะยอยขายทำกำไรออกมา ทำให้เกิดแรงขาย ( supply ) สู้กับแรงซื้อ ( demand ) หากแรงซื้อยังชนะ ราคาก็จะวิ่งขึ้นต่อไป แต่หากแรงขายชนะ ราคาหุ้นก็จะเริ่มลดลง หรือติดลบ ( Average Loss เพิ่มขึ้น ) ทำให้เส้น RSI เริ่มหักหัวชี้ลงมา

6. ในด้านกลับกัน หากค่า Average Loss มีมากกว่าค่า Average Gain เป็น 2 : 1 ค่า RSI ที่คำนวณได้จะมีค่า 33.33 ซึ่งจะมีนัยยะว่าที่ผ่านมา 14 วันนั้น ราคาปิดลดลงมากกว่าเพิ่มขึ้น ในสัดส่วน 2:1  หรือเป็นแนวโน้มขาลงนั่นเอง ดังนั้นหากเส้น RSI ยังคงชี้ลงต่อไปนั่นหมายถึงมีค่า Average Loss เพิ่มเข้ามาเรื่อยๆ ค่า RSI ก็จะยิ่งมีค่าลดลงต่อเนื่อง หรือราคามีแนวโน้มเป็นขาลงนั่นเอง  ก็รอให้พวกชอบซื้อของถูก ( ถูกแค่ในช่วงคำนวณ 14 วันย้อนหลังเท่านั้น ) ซื้อเก็บไปเรื่อยๆครับ

7. หากค่า RSI = 50 นั่นหมายถึงในช่วง 14 วันที่ผ่านมา ราคาแทบไม่ขยับไปไหนเลย 

   จะเห็นว่า RSI มันมีนัยยะถึงโอกาสที่ราคาหุ้นจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงมีมากกว่ากันเทียบในช่วงระยะเวลา 14 periods ที่เรากำหนดในสูตร เท่านั้น และค่า RSI ยังใช้บอกนัยยะว่า แรงซื้อที่ผลักดันราคาขึ้น ( Demand ) หรือแรงขาย ( supply ) ในขณะนั้น ยังคงต่อเนื่องและฝ่ายใดกำลังได้เปรียบหรือมีโอกาสมากกว่าอยู่ครับ

   กลยุทธในการนำไปใช้ ให้เลือกหุ้นที่มีค่า RSI >50-60 ขึ้นไป และกำลังชี้ขึ้น ราคาอยู่เหนือเส้น SMA20 และเกิดสัญญาณซื้อจากระบบเทรด VSTOP ของเรา โอกาสที่ราคาจะวิ่งขึ้นต่อไปจะมากขึ้นครับ   ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ

CR.พันทิพ

วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

พลิกพอร์ตติดลบ ครั้งที่ 1 โดยทีมโค้ช

ครูไก่ 

หลัก PDCA สำหรับ Full time trader

1) P ( PLAN)  ต้องมีการวางแผนการเทรด

Fulltime Trader กับ Salary Trader มีการวางแผนการเทรดที่่แตกต่างกัน

-- Fulltime Trader :  Day trader/ Swing trade
-- Salary Trader : Run trend

2) D (DO) การปฏิบัติตามแผน และมีวินัยอย่างเคร่งครัด
--ต่อให้วางแผนดี แต่ไม่ทำตามแผน ก็ไม่มีประโยชน์ อะไร

3) C (CHECK) ตรวจสอบผลการปฏิบัติตามแผนว่าเป็นอย่างไร ผลออกมาตามที่คาดหวังหรือไม่

--ถ้าเป็น : ให้ทดสอบวิธีซ้ำๆ เพื่อให้แน่ใจว่าเป็นวิธีที่ดี และปฏิบัติต่อไป
--ถ้าไม่ :  ต้องหาสาเหตุ ว่าผิดพลาดตรงไหน และทำการแก้ไข

4) A (ACTION) ทดสอบและปรับปรุงแผนการเทรดให้เหมาะสมอยู่เสมอ
-- แผนการในอดีต  อาจใช้ไม่ได้กับการเทรดในทุกครั้ง ต้องมีการปรับปรุงและทดสอบอยู่เสมอ


กับดักเทรดเดอร์ 

1. ไม่มีแผนลงทุนที่ชัดเจน
2.ไม่ได้ฝึกอย่างสม่ำเสมอ
3. ไม่มีวินัย **สำคัญมาก**
4. เทรดด้วยอารมณ์
5. ไม่ทำเงินอย่างสม่ำเสมอ
6.ไม่อยู่ในภาวะที่พร้อมในการเทรด



โค้ชเจน

พฤติกรรมที่ทำให้พอร์ตติดลบ

1. ซื้อหุ้นราคาสูง: เล่น Break out แต่ Break ไม่จริง ( Break out ต้องดูโวลุ่ม เหมือนดูหัวของ อ.นิพน)
2. ทนถือหุ้นราคาไม่ไปไหน : ซึมลงเรื่อยๆ เลยจุด SL ก็ไม่ขาย (น่ากลัวมาก)
3. ราคาหุ้นร่วงอย่างหนัก : เกิด Panic Sell อย่าตกใจ เป็นจังหวะซื้อถัว
4. ขายหุ้นทิ้งที่ราคาต่ำ : อาจเป็นแนวรับที่เจ้าเก็บของ เมื่อขายไป ราคาจะวิ่งขึ้น
5. หุ้นวิ่งกลับอย่างรวดเร็ว : ไล่ราคา SL ไม่ทัน

ทำไมพอร์ตติดลบ

1. SL ไม่ทัน ไม่ตัดใจขาย ไม่มีวินัย
2. รักหุ้นตัวนั้นมากเกินไป
3. เทรดโดยไม่คิดวิเคราะห์ แยกแยะ
4. ยังศึกษาและพัฒนาทักษะการเทรดได้ไม่ดีพอ
5. เชื่อวิธีการเทรดของตัวเอง โดยไม่มีการพลิกแพลง
6. ติดการเทรด เทรดทุกที่ทุกเวลา ไปเที่ยวก็ยังจะเทรด 
(หากจะไปเที่ยว ควรล้างพอร์ตให้หมด สำหรับ Dat trade/ Fulltime Trader

** การใส่อินดี้เยอะๆในกราฟ อาจไม่ดีเสมอไป หากอ่านความหมายไม่ออก การดูกราฟที่ง่ายที่สุด คือ
แท่งเทียน + โวลุ่ม**

แนวทางที่เทรดเดอร์ควรพัฒนา

--> การเทรดหุ้น คือการต่อสู้กับตัวเอง ไม่ใช่ต่อสู้กับตลาดหุ้น
-->ต้องไม่กลัวการ "ขายหมู" และต้องไม่ "ติดดอย" และอย่าให้หุ้นเล่นเราเด็ดขาด (รักษาเงินต้น)
-->เจ้ามือเป็นคนคอนโทรลราคาและสร้างกราฟ และใช้จิตวิทยาหลอกรายย่อย

: Vol เยอะ ราคาไม่ไป=>ออกของ
: Vol ลด ราคาไม่ไป หรือลดลงไม่มาก => พักตัวเพื่อไปต่อ

--> การให้ความสำคัญกับราคาในอดีต ทำให้อคติต่อราคาปัจจุบัน และพอหุ้นวิ่งก็เสียดาย
--> ในวันที่หุ้นแดง ยังไงก็มีหุ้นเขียวให้เล่น ขอแค่หาให้เจอ
--> รักษาทุน สำคัญกว่าการทำ "กำไร"

--> เทรดเดอร์ 5 คน เทรดหุ้นตัวเดียวกัน คิดว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร??
: ต่างกันแน่นอน ทั้งจุดซื้อและขาย ขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคน

--> ซื้อหุ้นที่ต้นทุนเท่ากัน คิดว่ามีความเสี่ยงเท่ากัน??
: ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนรับความเสี่ยงได้มากน้อยแค่ไหน

--> เราเป็นตัวกำหนดความเสี่ยง ตลาดจะเป็นตัวกำหนด"ผลตอบแทน"
--> ก่อนซื้อหุ้น คำนวณ Risk/Reward Ratio ให้ดี
--> ถ้าเล่นหุ้นที่ผันผวนน้อย ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนก็ต่ำไปด้วย
--> หุ้นที่ผันผวนมาก แต่ซื้้อในจังหวะ "ที่ใช่" ความเสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูง (พวกวอแรนท์)

--> บางทีเรารู้อยู่แล้วว่า หุ้นที่เราซื้อมีความเสี่ยงสูง แต่ดื้อซื้อ เลยขาดทุน
 : Warrant / DW  ซื้อเมื่อราคาขาลง



วิธีหาหุ้น (ทำการบ้าน)

1. เปิด top gainer ให้ดูหุ้นที่เข้าวันแรก  เพราะถ้าเล่นจริงต้องมีการเล่นต่อไป 
2. ดูกราฟ ให้ดูราคาLow ของวันก่อนหน้า กับราคา High ของวันนี้ (วันที่ติด Top Gainer )

=>วันถัดมาลง 1/2 ค่อยซื้อไม้แรก
=>วันถัดมาลง 2/3 อาจซื้ออีกไม้ (ถ้ามั่นใจว่าอ่านกราฟไม่ผิด)
=>หากหลุดLow วันที่เด้ง (Top Gainer) เลิกเล่น

ข้อควรระวังในการดู และซื้อขายด้วย Bid Offer 

=> เล่นกับอารมณ์ของนักเก็งกำไร ชอบเชิญชวนให้มาร่วมวง
=> ต้องคำนวณหุ้นที่จะซื้อให้ดี  เพราะถ้าซื้อเยอะ อาจจะ 
 1. โดนเชคบิลทันที
 2. เจ้ามือถอนบิดออก
 3. ออกของไม่ได้
 4. ราคาอาจค่อยๆ ซึมลง (น่ากลัวมาก)
 => ระวังไม่ใหญ่(หลอก) เคาะขวาหมดช่อง แต่ราคาไม่ไปต่อ (ออกของ)


โค้ชซัน








วันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สแกนหุ้น บทที่ 12 - 3 Year Stable EPS Growth







สแกนหุ้น บทที่ 13 - 3 Month Foreign Big Buy









สแกนหุ้น บทที่ 14 - New High in 3 Month









สูตรสแกน บทที่ 15 - Momentum Earning Growth








M

สูตรสแกน บทที่ 16 - Very High Dividend This Year







สูตรสแกน บทที่ 17 - Day Bearish Divergence

ดกเด








สูตรสแกน บทที่ 18 - Profit Jump up


สูตรสแกน บทที่ 19 - ATR Positive Trend


สูตรสแกน บทที่ 20 - SSTO Bullish Crossover


สูตรสแกน บทที่ 21 - 3 Yr P/E Down , Price Down


สูตรสแกน บทที่ 22 - 3 Year Stable Net Profit Growth


SEAFCO ดูดี ขอแงะละเอียดๆอีกที เป้าปี 60 14.10-14.40 ปี61 16 บ.

บล.ทิสโก้ : SEAFCO แนะนำ”ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายเพิ่มขึ้นจาก 13.30 บาทเป็น 16.10 บาท แนวโน้มสดใสจากงานในมือที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที...